Integrated soil management for organic vegetable in high landscape of watershed
(ไทย)
Organic vegetables in Royal Project
คำอธิบาย
การผลิตผักอินทรีย์ เป็นระบบการผลิตพืชผัก ที่ใช้ปัจจัยการผลิตที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ใช้พันธุ์พืชที่มีการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ ใช้ปุ๋ยและสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ได้มาจากวัสดุธรรมชาติ ไม่พึ่งพาสารเคมี
บ้านเมืองอาง ตั้งอยู่ในเขตตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ปกครองของบ้านเมืองอางมีประมาณ 25,881 ไร่ มี 6 หย่อมบ้าน ได้แก่ บ้านแม่ป่าก่อ บ้านห้วยน้ำปี บ้านแม่ลา บ้านห้วยน้ำอุ่น บ้านเมืองอาง บ้านหล่ายห้วย ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน พื้นที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ พื้นที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 600 – 800 เมตร ลักษณะภูมิอากาศมีอากาศค่อนข้างเย็นและชื้น อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปี 20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 15-17 องศาเซลเซียสในช่วงเดือนธันวาคม ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยตลอดปี 2,000-2,100 มิลลิเมตร โดยฝนจะเริ่มตกตั้งแต่เดือนมิถุนายน – เดือนพฤศจิกายน ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวปกาเกอะญอ มีจำนวนครัวเรือน 219 ครัวเรือน และมีประชากรทั้งสิ้น 588 คน แบ่งเป็นเพศชาย 308 คน และเพศหญิง 280 คน (ข้อมูลจาก http://www.banloung.go.th/content.php?cid=20130412164807QmnrGb0)
วัตถุประสงค์ของการนำเทคโนโลยีการผลิตผักอินทรีย์แบบโรงเรือนมาใช้ในพื้นที่ เพื่อต้องการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ ทำการตัดไม้และเผาป่าไม้บนพื้นที่สูงเพื่อใช้ทำไร่เลื่อนลอยขยายพื้นที่เพาะปลูก ทำการเกษตรแบบปลูกพืชเชิงเดี่ยว ซึ่งทำให้ระบบนิเวศน์ถูกทำลาย รายได้ไม่พอเพียงในการดำรงชีวิต มาเป็นการทำเกษตรแบบอยู่กับที่สร้างโรงเรือน เน้นการรักษาระบบนิเวศน์ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และผลที่ตามมาคือมีรายได้เพิ่มขึ้น มีรายได้ตลอดปี และสุขภาพอนามัยดี
วิถีชีวิตในอดีตของชาวปกาเกอะญอที่บ้านเมืองอาง ไม่ต่างจากคนในพื้นที่ภูเขาทั่วไป คือมีการทำไร่หมุนเวียน เปลี่ยนระบบการผลิตจากการพึ่งพาตนเองไปสู่การผลิตแบบเชิงเดี่ยว ทำให้พื้นที่สีเขียวลดลงไปเรื่อยๆ ชาวบ้านมีรายได้ดีแต่กลับมีหนี้สินพอกพูน สุดท้ายผู้นำในพื้นที่จึงช่วยกันคิดและแก้ไขปัญหาด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนระบบผลิตเพื่อการค้าเป็นการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในรูปแบบของเกษตรอินทรีย์ โดยให้นายวัชรินทร์ พจนบัณฑิต ผู้ใหญ่บ้านเมืองอาง ทำหนังสือถวายฎีกาต่อหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ให้โครงการหลวงเข้ามาส่งเสริมอาชีพ จากนั้นตั้งแต่ปี 2545 บ้านเมืองอางได้ปรับเปลี่ยนการใช้ที่ดินมาทำเกษตรอินทรีย์ คนจากที่เคยถางป่าปลูกข้าว 10 ไร่ 20 ไร่ ก็กลายมาเป็นทำโรงเรือนที่ใช้พื้นที่ประมาณ 1-2 งาน ซึ่งสามารถเลี้ยงครอบครัวได้ รวมถึงได้พื้นที่ป่าคืนมาประมาณ 1700 ไร่ ปัจจุบัน บ้านเมืองอางเป็นแหล่งผลิตผักอินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโครงการหลวงอินทนนท์ โดยมีชาวบ้านสนใจเข้าร่วมโครงการแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ และคาดว่าอีก 1-2 ปีข้างหน้า ชาวบ้านเมืองอางทั้งหมดจะผันตัวเองมาทำเกษตรอินทรีย์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ และพร้อมเป็นต้นแบบในการพัฒนาคุณภาพชีวิต
การผลิตผักอินทรีย์ ณ บ้านเมืองอาง เริ่มแรกไม่ได้ทำโรงเรือนรวมกลุ่มได้ 80 คน ปลูกถั่วแขก หัวไชเท้า ทำไปประมาณ 7-8 ปี ปลูกแล้วได้ผลผลิตไม่ดี มีรายได้ประมาณ 5,000 บาทต่อปี ปี พ.ศ.2553 สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ได้พาเกษตรกรไปศึกษาดูงานที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ ตำบลบ่อสลี อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ได้ความรู้ในเรื่องการวางแผนการผลิตและการปลูกพืชภายใต้โรงเรือนไม้ไผ่กางมุ้ง จึงกลับมาเริ่มโครงการใหม่โดยจัดตั้งกลุ่มผู้ผลิตผักอินทรีย์เพื่อช่วยหางบประมาณสนับสนุนการสร้างโรงเรือน มีเจ้าหน้าที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์เป็นผู้สนับสนุนให้ความรู้ ติดตาม และหาตลาดให้ การปลูกผักในโรงเรือนจึงประสบผลสำเร็จเป็นต้นแบบให้กับสมาชิก โดยครั้งแรกที่ผลิตผักอินทรีย์ในโรงเรือนมีแกนนำรวมกลุ่มได้เพียง 8 คน จำนวน 10 โรงเรือน ใช้เวลา 1 รอบการผลิตประมาณ 25 วัน 1 โรงเรือนได้ผักประมาณ 200 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 25 บาท มีรายได้ 5,000 บาทต่อ 1 รอบการผลิต ซึ่ง 1 ปีสามารถผลิตผักได้ 11 รอบ มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าจากรายได้เมื่อก่อน จึงมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันปี 2561 มีสมาชิก 153 ราย จำนวนโรงเรือน 270 โรงเรือน การผลิตพืชผักอินทรีย์ของบ้านเมืองอางมีจุดเด่นคือ ได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมวิชาการเกษตร, สำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ประเทศไทย (ผู้ที่ได้รับการรับรองตามระบบนี้สามารถใช้ตรารับรองเกษตรอินทรีย์ของ มกท.ร่วมกับตรา IFOAM Accredited) และหน่วยงานรับรองมาตรฐานเกษตรของประเทศสิงคโปร์ (AVA) มีกระบวนการผลิต ปัจจัยการผลิตทุกขั้นตอนผ่านมาตรฐาน มีการตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งที่มา ในระบบนี้ มกท.สามารถให้บริการตรวจรับรองเกษตรอินทรีย์ในขอบข่ายเกี่ยวกับ การเพาะปลูกพืช การเก็บผลผลิตจากป่าและพื้นที่ธรรมชาติ การแปรรูปและจัดการผลผลิต และปัจจัยการผลิตเพื่อการค้า ผักที่ผลิตส่วนใหญ่มี 9 ชนิด ได้แก่ กวางตุ้ง เบบี้ฮ่องเต้ คอสสลัด โอ๊คลีฟเขียว โอ๊คลีฟแดง ฟิลเลย์ไอซ์เบิร์ก ถั่วแขก คะน้าฮ่องกง และเบบี้แครอท ส่งผลผลิตให้กับบริษัท เอ็มเค, บริษัทพงษ์เทพ (สิงคโปร์), บริษัททวีวัฒนา, บริษัทไทยเฟรชฟาร์ม, บริษัทแมคโคร, ร้านโครงการหลวง, บริษัทไพลิน, บริษัทพลังผักและสหกรณ์โครงการหลวงอินทนนท์
กระบวนการผลิตผักอินทรีย์ของกลุ่มผู้ผลิตผักอินทรีย์ บ้านเมืองอาง ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน IFOAM มีขั้นตอนการปฏิบัติ ดังนี้
1. จัดตั้งกลุ่มผู้ผลิตผักอินทรีย์ รับสมัครสมาชิก โดยสมาชิกต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบของกลุ่มโดยจะต้องยืนยันการเป็นเกษตรกรอินทรีย์ทุกปี ต้องเข้าร่วมประชุมประจำเดือนของหมู่บ้านไม่น้อยกว่า 6 ครั้งต่อปี ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องไม่ปลูกพืช 2 ระบบคือ อินทรีย์และ GAP ในเวลาเดียวกัน ยกเว้นการปลูกข้าว ต้องเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มอย่างสม่ำเสมอ กรณีละเมิดจะมีบทลงโทษ การจัดตั้งกลุ่มเพื่อหาเงินสนับสนุนในลงทุนทำเกษตรอินทรีย์ให้กับสมาชิก และเป็นแหล่งผลิตที่ใหญ่สามารถต่อรองราคาหรือหาตลาดได้ง่าย
2. การคัดเลือกพื้นที่ เลือกพื้นที่ที่ค่อนข้างเรียบ บริเวณหุบเขาหรือไหล่เขาเพื่อปลูกสร้างโรงเรือน
3. ปลูกสร้างโรงเรือน ทางกลุ่มฯ เน้นการปลูกเพื่อพอเพียงไม่เน้นการค้า จึงมีระเบียบกติกาว่า สมาชิกแต่ละคนมีโรงเรือนได้ไม่เกิน 3 โรงเรือน โดยเฉลี่ยสมาชิกจึงมีรายละ 2 โรงเรือน ดังนั้นเงินลงทุนสร้างโรงเรือน 2 โรงเรือนแรกมีเงินกองทุนสนับสนุนช่วยเหลือให้ 60% ของค่าโรงเรือน และลงทุนเองอีก 40% ถ้าใครจะทำโรงเรือนที่ 3 ต้องลงทุนเองทั้งหมด ขนาดของโรงเรือน กว้าง 6 เมตร ยาว 30 เมตร สูงประมาณ 3-5 เมตร (180 ตารางเมตรต่อโรงเรือน) เมื่อก่อนใช้ไม้ไผ่ ปัจจุบันมีการใช้โครงเหล็ก หลังคาคลุมด้วยผ้าใบใส ด้านข้างคลุมด้วยตาข่ายป้องกันแมลงศัตรูพืช ใช้แรงงานของสมาชิกช่วยกันปลูกสร้าง
4. วางแผนการผลิตผักอินทรีย์ สมาชิกประชุมหารือกับเจ้าหน้าที่สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ วางแผนการผลิตผักอินทรีย์ตามกำหนดการที่ตลาดรับซื้อต้องการ โดยกำหนดชนิดผักที่ปลูก วันเพาะกล้า วันปลูก จนถึงวันตัดผลผลิต ทำเป็นปฏิทินการดำเนินการของเกษตรกรเป็นรายบุคคล กรณีสมาชิกไม่ปฏิบัติตามแผน จะหักค่าผลผลิต 50% เข้ากลุ่ม
5. การจัดหาปัจจัยการผลิต เช่น เมล็ดพันธุ์ผัก ซื้อของโครงการหลวง, แหล่งน้ำที่ใช้มาจากระบบชลวิถี กักเก็บน้ำจากแหล่งต้นน้ำธรรมชาติและปล่อยสู่แปลงเกษตรกรตามท่อ, ปุ๋ยหมัก เช่นขี้วัว ต้องหาซื้อจากแหล่งที่เลี้ยงแบบปล่อยกินหญ้าธรรมชาติ ห้ามใช้สารเคมีทุกชนิด วิธีการกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช ให้ใช้กาวเหนียวดักแมลง ตัวห้ำตัวเบียน สารชีวภัณฑ์ และน้ำหมักชีวภาพ พืชสมุนไพร ปัจจัยการผลิตต้องมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบย้อนกลับได้ กรณีละเมิดบทลงโทษโดยถ้ามีการใช้สารเคมีโดยไม่ตั้งใจให้พักแปลง 3 ปี กรณีตั้งใจให้ออกจากการเป็นสมาชิก
6. การเตรียมดินและปรับปรุงดิน ใช้รถไถขนาดเล็กไถปรับพื้นที่ ตากดินไว้ประมาณ 7 วัน ใช้ปูนปรับค่าความเป็นกรดด่างของดิน ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมักขี้วัว ซึ่งหาซื้อจากแหล่งที่เลี้ยงแบบปล่อยกินหญ้าธรรมชาติ ขึ้นแปลงขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 30 เมตร ตามขนาดพื้นที่โรงเรือน
7. การเพาะกล้าผัก เมล็ดพันธุ์ซื้อของโครงการหลวง (โครงการหลวงจะหักค่าเมล็ดพันธุ์เมื่อเกษตรกรไปส่งผลผลิตประมาณ 700 บาทต่อโรงเรือน) ชนิดผักที่ปลูก ปลูกตามปฏิทินการปลูกที่ได้วางแผนไว้ให้สอดรับกับตลาดที่ต้องการสินค้า สมาชิกทุกคนช่วยกันลงแรงเพาะกล้าผักในถาดหลุม ซึ่งแต่ละถาดหลุมจะมีชื่อรหัสของสมาชิกติดอยู่ และพักไว้ในโรงเพาะกล้าช่วยกันดูแลรดน้ำ
8. การปลูก เมื่อกล้าผักอายุ 7 วัน นำออกมาลงปลูกในแปลงที่เตรียมดินไว้แล้ว หมั่นรดน้ำทุกวันใช้วิธีรดน้ำแบบฝักบัว 1 โรงเรือน ปลูกประมาณ 2-3 ชนิด
9. การป้องกันกำจัดโรคและแมลง หมั่นสอดส่องกำจัดโรค และแมลงโดยให้ใช้กาวเหนียวดักแมลง ตัวห้ำตัวเบียน สารชีวภัณฑ์ และน้ำหมักชีวภาพ พืชสมุนไพร
10. การเก็บเกี่ยวที่อายุ 25 วัน เกษตรกรต้องเก็บเกี่ยวตามแผนการเก็บเกี่ยวที่กำหนดไว้ การเก็บเกี่ยวให้ใช้มีดตัด ผักจะสวยได้คุณภาพ ป้องกันการฉีกขาด หากมีตำหนิเกิน 30 % จะตกเกรดเป็นผักที่ไม่ได้คุณภาพ โครงการหลวงไม่รับซื้อต้องขายพ่อค้าที่มารอรับซื้อในราคากิโลกรัมละไม่ถึง 10 บาท และต้องส่งตัวอย่างผักไปวิเคราะห์สารตกค้าง
11. การคัดและบรรจุ เป็นขั้นตอนหลังการเก็บเกี่ยว ต้องล้างผักให้สะอาดด้วยน้ำที่ไม่ปนเปื้อน ผึ่งให้แห้ง คัดผักที่ไม่ได้คุณภาพออก จัดแบ่งขนาดให้มีความสม่ำเสมอ บรรจุในตระกร้าพลาสติกที่มีกระดาษกรุทั้งตะกร้า นำส่งโรงคัดแยกของสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ต่อไป
12. การบำรุงรักษาเทคโนโลยี การล้างหลังคาโรงเรือนปีละ 1 ครั้ง และมีการเปลี่ยนผ้าพลาสติกหลังคาโรงเรือน ทุก 3 ปี
ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้เทคโนโลยีที่สำคัญ คือ
1. ช่วยรักษาระบบนิเวศน์ รักษาสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ดินและน้ำ บ้านเมืองอางมีพื้นที่ป่าต้นน้ำเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรคืนพื้นที่ทำการเกษตรให้กลับคืนเป็นป่าถึง 1700 ไร่
2. สามารถผลิตผักอินทรีย์ที่ได้มาตรฐานในระดับที่นานาชาติยอมรับ คือได้มาตรฐาน IFOAM สามารถส่งขายต่างประเทศได้ นำรายได้เข้าประเทศ
3. ผู้ผลิตและผู้บริโภคมีความปลอดภัย สุขภาพแข็งแรง
4. สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและชุมชนได้ตลอดปี ซึ่งจะทำให้ชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
5. ประโยชน์ทางอ้อม ชุมชนมีการทำกิจกรรมร่วมกัน สามารถเปลี่ยนแนวความคิดของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้สนใจกลับมาทำอาชีพในท้องถิ่น เป็นกำลังสร้างชุมชนให้มีความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ นอกจากนี้การสร้างชุมชนให้มีชื่อเสียงด้านผลิตผักอินทรีย์อย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดชื่อเสียงสามารถจัดทําเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบและนิยมเดินทางไปท่องเที่ยว สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและชุมชน ซึ่งจะส่งเสริมชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกทางหนึ่ง
สถานที่
สถานที่: สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์, เชียงใหม่, ไทย
ตำนวนการวิเคราะห์เทคโนโลยี: พื้นที่เดี่ยว
ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของสถานที่ที่ถูกเลือ
การเผยแพร่ของเทคโนโลยี: ใช้ ณ จุดที่เฉพาะเจาะจงหรือเน้นไปยังบริเวณพื้นที่ขนาดเล็ก
In a permanently protected area?:
วันที่ในการดำเนินการ: 2002; 10-50 ปี
ประเภทของการแนะนำ
-
ด้วยการริเริ่มของผู้ใช้ที่ดินเอง
-
เป็นส่วนหนึ่งของระบบแบบดั้งเดิมที่ทำก้นอยู่ (> 50 ปี)
-
ในช่วงการทดลองหรือการทำวิจัย
-
ทางโครงการหรือจากภายนอก
การรดน้ำผักอินทรีย์ (Ms. Kamalapa Wattanaprapat)
การล้างผัก (Ms. Kamalapa Wattanaprapat)
จุดประสงค์หลัก
-
ปรับปรุงการผลิตให้ดีขึ้น
-
ลด ป้องกัน ฟื้นฟู การเสื่อมโทรมของที่ดิน
-
อนุรักษ์ระบบนิเวศน์
-
ป้องกันพื้นที่ลุ่มน้ำ/บริเวณท้ายน้ำ โดยร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ
-
รักษาสภาพหรือปรับปรุงความหลากหลายทางชีวภาพ
-
ลดความเสี่ยงของภัยพิบัติ
-
ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก สภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและผลกระทบ
-
ชะลอการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกและผลกระทบ
-
สร้างผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์
-
สร้างผลกระทบทางด้านสังคมที่เป็นประโยชน์
การใช้ที่ดิน
-
พื้นที่ปลูกพืช
- การปลูกพืชล้มลุกอายุปีเดียว
-
ทางน้ำ แหล่งน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ - ผลิตภัณฑ์หลักหรือบริการ: ระบบส่งน้ำบนดอย และต่อท่อมายังแปลงผักอินทรีย์
การใช้น้ำ
-
จากน้ำฝน
-
น้ำฝนร่วมกับการชลประทาน
-
การชลประทานแบบเต็มรูปแบบ
-
แหล่งน้ำจากต้นน้ำ
ความมุ่งหมายที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมโทรมของที่ดิน
-
ป้องกันความเสื่อมโทรมของที่ดิน
-
ลดความเสื่อมโทรมของดิน
-
ฟื้นฟูบำบัดที่ดินที่เสื่อมโทรมลงอย่างมาก
-
ปรับตัวกับสภาพความเสื่อมโทรมของที่ดิน
-
ไม่สามารถใช้ได้
ที่อยู่ของการเสื่อมโทรม
-
การกัดกร่อนของดินโดยน้ำ - Wt (Loss of topsoil): การสูญเสียดินชั้นบนหรือการกัดกร่อนที่ผิวดิน
-
การเสื่อมโทรมของดินทางด้านเคมี - Cp (Soil pollution): มลพิษในดิน
-
การเสื่อมโทรมของดินทางด้านชีวภาพ - Bl (Loss of soil life): การสูญเสียสิ่งมีชีวิตในดิน , Bp (Increase of pests/diseases): การเพิ่มขึ้นของศัตรูพืชและโรคพืช
กลุ่ม SLM
-
ระบบหมุนเวียน (การปลูกพืชหมุนเวียน การพักดิน การเกษตรแบบไร่เลื่อนลอย)
-
การจัดการศัตรูพืชและโรคพืชแบบผสมผสาน (รวมถึงเกษตรอินทรีย์ด้วย)
-
การจัดการด้านชลประทาน (รวมถึงการลำเลียงส่งน้ำ การระบายน้ำ)
มาตรการ SLM
-
มาตรการจัดการพืช - A2: อินทรียวัตถุในดิน/ความอุดมสมบูรณ์ในดิน
-
มาตรการอนุรักษ์ด้วยการจัดการ - M2: การเปลี่ยนแปลงของการจัดการหรือระดับความเข้มข้น
แบบแปลนทางเทคนิค
ข้อมูลจำเพาะด้านเทคนิค
การผลิตผักอินทรีย์บ้านเมืองอาง ได้รับการรับรองจากสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกท.) ให้เป็นเกษตรอินทรีย์มาตรฐาน IFOAM (International Federation of Organic Agriculture Movements) ซึ่งระบบนี้เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นโดยสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ ตั้งแต่ปีพ.ศ.2535 และ มกท.ได้รับการรับรองระบบงานจาก IOAS (International Organic Accreditation Service) ตั้งแต่ปีพ.ศ.2544 ทำให้สามารถรับรองและให้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ IFOAM แก่หน่วยงานต่าง ๆ ในประเทศไทยได้ ในระบบนี้ มกท.สามารถให้บริการตรวจรับรองเกษตรอินทรีย์ในขอบข่ายเกี่ยวกับ การเพาะปลูกพืช การเก็บผลผลิตจากป่าและพื้นที่ธรรมชาติ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การแปรรูปและจัดการผลผลิต และปัจจัยการผลิตเพื่อการค้า ผู้ที่ได้รับการรับรองตามระบบนี้สามารถใช้ตรารับรองเกษตรอินทรีย์ของ มกท.ร่วมกับตรา“IFOAM Accredited” มีเจ้าหน้าที่เก็บตัวอย่างดินและผักไปตรวจสอบสารตกค้าง
กระบวนการผลิตผักอินทรีย์ของกลุ่มผู้ผลิตผักอินทรีย์ บ้านเมืองอาง ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน IFOAM มีขั้นตอนการปฏิบัติ ดังนี้
1. จัดตั้งกลุ่มผู้ผลิตผักอินทรีย์ รับสมัครสมาชิก โดยสมาชิกต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบของกลุ่มโดยจะต้องยืนยันการเป็นเกษตรกรอินทรีย์ทุกปี ต้องเข้าร่วมประชุมประจำเดือนของหมู่บ้านไม่น้อยกว่า 6 ครั้งต่อปี ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องไม่ปลูกพืช 2 ระบบคือ อินทรีย์และ GAP ในเวลาเดียวกัน ยกเว้นการปลูกข้าว ต้องเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มอย่างสม่ำเสมอ กรณีละเมิดจะมีบทลงโทษ การจัดตั้งกลุ่มเพื่อหาเงินสนับสนุนในลงทุนทำเกษตรอินทรีย์ให้กับสมาชิก และเป็นแหล่งผลิตที่ใหญ่สามารถต่อรองราคาหรือหาตลาดได้ง่าย
2. การคัดเลือกพื้นที่ เลือกพื้นที่ที่ค่อนข้างเรียบ บริเวณหุบเขาหรือไหล่เขาเพื่อปลูกสร้างโรงเรือน
3. ปลูกสร้างโรงเรือน ทางกลุ่มฯ เน้นการปลูกเพื่อพอเพียงไม่เน้นการค้า จึงมีระเบียบกติกาว่า สมาชิกแต่ละคนมีโรงเรือนได้ไม่เกิน 3 โรงเรือน โดยเฉลี่ยสมาชิกจึงมีรายละ 2 โรงเรือน ดังนั้นเงินลงทุนสร้างโรงเรือน 2 โรงเรือนแรกมีเงินกองทุนสนับสนุนช่วยเหลือให้ 60% ของค่าโรงเรือน และลงทุนเองอีก 40% ถ้าใครจะทำโรงเรือนที่ 3 ต้องลงทุนเองทั้งหมด ขนาดของโรงเรือน กว้าง 6 เมตร ยาว 30 เมตร สูงประมาณ 3-5 เมตร (180 ตารางเมตรต่อโรงเรือน) เมื่อก่อนใช้ไม้ไผ่ ปัจจุบันมีการใช้โครงเหล็ก หลังคาคลุมด้วยผ้าใบใส ด้านข้างคลุมด้วยตาข่ายป้องกันแมลงศัตรูพืช ใช้แรงงานของสมาชิกช่วยกันปลูกสร้าง
4. วางแผนการผลิตผักอินทรีย์ สมาชิกประชุมหารือกับเจ้าหน้าที่สถานีเกษตรหลวง อินทนนท์ วางแผนการผลิตผักอินทรีย์ตามกำหนดการที่ตลาดรับซื้อต้องการ โดยกำหนดชนิดผักที่ปลูก วันเพาะกล้า วันปลูก จนถึงวันตัดผลผลิต ทำเป็นปฏิทินการดำเนินการของเกษตรกรเป็นรายบุคคล กรณีสมาชิกไม่ปฏิบัติตามแผน จะหักค่าผลผลิต 50% เข้ากลุ่ม
5. การจัดหาปัจจัยการผลิต เช่น เมล็ดพันธุ์ผัก ซื้อของโครงการหลวง, แหล่งน้ำที่ใช้มาจากระบบชลวิถี กักเก็บน้ำจากแหล่งต้นน้ำธรรมชาติและปล่อยสู่แปลงเกษตรกรตามท่อ, ปุ๋ยหมัก เช่นขี้วัว ต้องหาซื้อจากแหล่งที่เลี้ยงแบบปล่อยกินหญ้าธรรมชาติ ห้ามใช้สารเคมีทุกชนิด วิธีการกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช ให้ใช้กาวเหนียวดักแมลง ตัวห้ำตัวเบียน สารชีวภัณฑ์ และน้ำหมักชีวภาพ พืชสมุนไพร ปัจจัยการผลิตต้องมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบย้อนกลับได้ กรณีละเมิดบทลงโทษโดยถ้ามีการใช้สารเคมีโดยไม่ตั้งใจให้พักแปลง 3 ปี กรณีตั้งใจให้ออกจากการเป็นสมาชิก
6. การเตรียมดินและปรับปรุงดิน ใช้รถไถขนาดเล็กไถปรับพื้นที่ ตากดินไว้ประมาณ 7 วัน ใช้ปูนปรับค่าความเป็นกรดด่างของดิน ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมักขี้วัว ซึ่งหาซื้อจากแหล่งที่เลี้ยงแบบปล่อยกินหญ้าธรรมชาติ ขึ้นแปลงขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 30 เมตร ตามขนาดพื้นที่โรงเรือน
7. การเพาะกล้าผัก เมล็ดพันธุ์ซื้อของโครงการหลวง (โครงการหลวงจะหักค่าเมล็ดพันธุ์เมื่อเกษตรกรไปส่งผลผลิตประมาณ 700 บาทต่อโรงเรือน) ชนิดผักที่ปลูก ปลูกตามปฏิทินการปลูกที่ได้วางแผนไว้ให้สอดรับกับตลาดที่ต้องการสินค้า สมาชิกทุกคนช่วยกันลงแรงเพาะกล้าผักในถาดหลุม ซึ่งแต่ละถาดหลุมจะมีชื่อรหัสของสมาชิกติดอยู่ และพักไว้ในโรงเพาะกล้าช่วยกันดูแลรดน้ำ
8. การปลูก เมื่อกล้าผักอายุ 7 วัน นำออกมาลงปลูกในแปลงที่เตรียมดินไว้แล้ว หมั่นรดน้ำทุกวันใช้วิธีรดน้ำแบบฝักบัว 1 โรงเรือน ปลูกประมาณ 2-3 ชนิด
9. การป้องกันกำจัดโรคและแมลง หมั่นสอดส่องกำจัดโรค และแมลงโดยให้ใช้กาวเหนียวดักแมลง ตัวห้ำตัวเบียน สารชีวภัณฑ์ และน้ำหมักชีวภาพ พืชสมุนไพร
10. การเก็บเกี่ยวที่อายุ 25 วัน เกษตรกรต้องเก็บเกี่ยวตามแผนการเก็บเกี่ยวที่กำหนดไว้ การเก็บเกี่ยวให้ใช้มีดตัด ผักจะสวยได้คุณภาพ ป้องกันการฉีกขาด หากมีตำหนิเกิน 30 % จะตกเกรดเป็นผักที่ไม่ได้คุณภาพ โครงการหลวงไม่รับซื้อต้องขายพ่อค้าที่มารอรับซื้อในราคากิโลกรัมละไม่ถึง 10 บาท และต้องส่งตัวอย่างผักไปวิเคราะห์สารตกค้าง
11. การคัดและบรรจุ เป็นขั้นตอนหลังการเก็บเกี่ยว ต้องล้างผักให้สะอาดด้วยน้ำที่ไม่ปนเปื้อน ผึ่งให้แห้ง คัดผักที่ไม่ได้คุณภาพออก จัดแบ่งขนาดให้มีความสม่ำเสมอ บรรจุในตระกร้าพลาสติกที่มีกระดาษกรุทั้งตะกร้า นำส่งโรงคัดแยกของ สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ต่อไป
12. การบำรุงรักษาเทคโนโลยี การล้างหลังคาโรงเรือนปีละ 1 ครั้ง และมีการเปลี่ยนผ้าพลาสติกหลังคาโรงเรือน ทุก 3 ปี
Author: นางสาวกมลาภา วัฒนประพัฒน์
การจัดตั้งและการบำรุงรักษา: กิจกรรม ปัจจัยและค่าใช้จ่าย
การคำนวนต้นทุนและค่าใช้จ่าย
- ค่าใช้จ่ายถูกคำนวน ต่อพื้นที่ที่ใช้เทคโนโลยี (หน่วยของขนาดและพื้นที่: 70ไร่ตัวแปลงค่าจาก 1 เฮกตาร์ = 1 ha = 6.25 rai)
- สกุลเงินที่ใช้คำนวณค่าใช้จ่าย บาท
- อัตราแลกเปลี่ยน (ไปเป็นดอลลาร์สหรัฐ) คือ 1 ดอลลาร์สหรัฐ = 32.0 บาท
- ค่าจ้างเฉลี่ยในการจ้างแรงงานต่อวันคือ 300
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่มีผลต่อค่าใช้จ่าย
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่มีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายอื่นๆ คือ ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าปุ๋ยคอก ต้องซื้อจากแหล่งที่มีมาตรฐานว่าเป็นอินทรีย์ชัดเจน เมล็ดพันธุ์ใช้ของโครงการหลวงแหล่งเดียว และปุ๋ยคอกต้องหาซื้อจากจังหวัดอื่นซึ่งต้องมีการเลี้ยงแบบปล่อยธรรมชาติ แหล่งวัสดุที่นำมาใช้สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปถึงแหล่งผลิตได้
ปัจจัยแรงงานไม่ค่อยมีผลกระทบคือช่วงที่ใช้แรงงานมีการลงแรงช่วยกัน และผลัดเปลี่ยนกันไปช่วยในแต่ละโรงเรือน
กิจกรรมเพื่อการจัดตั้ง
-
จัดตั้งกลุ่มผู้ผลิตผักอินทรีย์ (ช่วงระยะเวลา/ความถี่: Mปีแรกของการปลูก)
-
การคัดเลือกพื้นที่ (ช่วงระยะเวลา/ความถี่: M ก่อนการปลูก)
-
ปลูกสร้างโรงเรือน (ช่วงระยะเวลา/ความถี่: Sก่อนการปลูก)
-
4. วางแผนการผลิตผักอินทรีย์ (ช่วงระยะเวลา/ความถี่: Mก่อนการปลูก)
-
5. การจัดหาปัจจัยการผลิต (ช่วงระยะเวลา/ความถี่: Mก่อนการปลูก)
-
6. การเตรียมดินและปรับปรุงดิน (ช่วงระยะเวลา/ความถี่: M ระหว่างเตรียมดิน)
-
7. การเพาะกล้าผัก (ช่วงระยะเวลา/ความถี่: Vระหว่างเตรียมดิน)
-
8. การปลูก (ช่วงระยะเวลา/ความถี่: Mช่วงการปลูก)
-
9. การป้องกันกำจัดโรคและแมลง (ช่วงระยะเวลา/ความถี่: Mช่วงการปลูก)
-
10. การเก็บเกี่ยว (ช่วงระยะเวลา/ความถี่: Mช่วงการเก็บเกี่ยว)
-
11. การคัดและบรรจุ (ช่วงระยะเวลา/ความถี่: Mหลังก็บเกี่ยวผลผลิต)
-
12. การบำรุงรักษาเทคโนโลยี (ช่วงระยะเวลา/ความถี่: Mหลังก็บเกี่ยวผลผลิต)
ปัจจัยและค่าใช้จ่ายของการจัดตั้ง (per 70ไร่)
ปัจจัยนำเข้า |
หน่วย |
ปริมาณ |
ค่าใช้จ่ายต่อหน่วย (บาท) |
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อปัจจัยนำเข้า (บาท) |
%ของค่าใช้จ่ายที่ก่อให้เกิดขึ้นโดยผู้ใช้ที่ดิน |
แรงงาน
|
สร้างโรงเรือน |
แรง |
10.0 |
300.0 |
3000.0 |
100.0 |
ช่วงปลูก |
แรง |
6.0 |
300.0 |
1800.0 |
100.0 |
ช่วงดูแล |
แรง |
45.0 |
300.0 |
13500.0 |
100.0 |
ช่วงเก็บเกี่ยว |
แรง |
10.0 |
300.0 |
3000.0 |
100.0 |
อุปกรณ์
|
สายยาง |
เส้น |
1.0 |
1000.0 |
1000.0 |
100.0 |
รถไถเตรียมดิน |
ไร่ |
1.0 |
300.0 |
300.0 |
100.0 |
วัสดุด้านพืช
|
เมล็ดพันธุ์ผัก |
โรงเรือน |
1.0 |
700.0 |
700.0 |
100.0 |
ปุ๋ยและสารฆ่า/ยับยั้งการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต (ไบโอไซด์)
|
ปุ๋ยคอก (ขี้วัว) |
กระสอบ |
20.0 |
30.0 |
600.0 |
100.0 |
ชีวภัณฑ์ Bt |
ลิตร |
|
|
|
100.0 |
ตัวห้ำ ตัวเบียน |
- |
|
|
|
|
กาวเหนียวดักแมลง |
ลิตร |
0.5 |
290.0 |
145.0 |
100.0 |
แผ่นพลาสติกเหลือง |
แผ่น |
60.0 |
5.0 |
300.0 |
100.0 |
ถุงพลาสติกเหลือง |
กก |
0.5 |
120.0 |
60.0 |
100.0 |
วัสดุสำหรับก่อสร้าง
|
ไม้ทำโครง/มุ้งตาข่าย/ผ้าพลาสติก |
โรงเรือน |
1.0 |
14700.0 |
14700.0 |
40.0 |
ท่อ PVC |
ท่อ |
40.0 |
40.0 |
1600.0 |
100.0 |
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของการจัดตั้งเทคโนโลยี |
40'705.0 |
|
Total costs for establishment of the Technology in USD |
1'272.03 |
|
กิจกรรมสำหรับการบำรุงรักษา
-
1. เปลี่ยนผ้าพลาสติกหลังคาคลุมโรงเรือน (ช่วงระยะเวลา/ความถี่: 3,700 บาทต่อโรงเรือนSทุกๆ 3 ปี)
-
2. การล้างพลาสติกหลังคาคลุมโรงเรือน (ช่วงระยะเวลา/ความถี่: Sทุกปี)
ปัจจัยและค่าใช้จ่ายของการบำรุงรักษา (per 70ไร่)
ปัจจัยนำเข้า |
หน่วย |
ปริมาณ |
ค่าใช้จ่ายต่อหน่วย (บาท) |
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อปัจจัยนำเข้า (บาท) |
%ของค่าใช้จ่ายที่ก่อให้เกิดขึ้นโดยผู้ใช้ที่ดิน |
แรงงาน
|
เปลี่ยนผ้าพลาสติก |
คน |
3.0 |
300.0 |
900.0 |
100.0 |
ล้างหลังคา 3 ครั้ง |
คน |
3.0 |
300.0 |
900.0 |
100.0 |
วัสดุสำหรับก่อสร้าง
|
ผ้าพลาสติกใส (3ปีเปลี่ยน 1 ครั้ง) |
ม้วน |
1.0 |
3700.0 |
3700.0 |
100.0 |
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของการบำรุงรักษาสภาพเทคโนโลยี |
5'500.0 |
|
Total costs for maintenance of the Technology in USD |
171.88 |
|
สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายปี
-
< 250 ม.ม.
-
251-500 ม.ม.
-
501-750 ม.ม.
-
751-1,000 ม.ม.
-
1,001-1,500 ม.ม.
-
1,501-2,000 ม.ม.
-
2,001-3,000 ม.ม.
-
3,001-4,000 ม.ม.
-
> 4,000 ม.ม.
เขตภูมิอากาศเกษตร
-
ชื้น
-
กึ่งชุ่มชื้น
-
กึ่งแห้งแล้ง
-
แห้งแล้ง
ข้อมูลจำเพาะเรื่องภูมิอากาศ
ปริมาณเฉลี่ยฝนรายปีในหน่วยมม. 1500.0
ฝนจะเริ่มตกตั้งแต่เดือนมิถุนายน – เดือนตุลาคม
ชื่อสถานีอุตุนิยมวิทยา สถานีตรวจวัดอากาศโครงการหลวงอินทนนท์
-
ความชัน
-
ราบเรียบ (0-2%)
-
ลาดที่ไม่ชัน (3-5%)
-
ปานกลาง (6-10%)
-
เป็นลูกคลื่น (11-15%)
-
เป็นเนิน (16-30%)
-
ชัน (31-60%)
-
ชันมาก (>60%)
ภูมิลักษณ์
-
ที่ราบสูง/ที่ราบ
-
สันเขา
-
ไหล่เขา
-
ไหล่เนินเขา
-
ตีนเนิน
-
หุบเขา
ความสูง
-
0-100 เมตร
-
101-500 เมตร
-
501-1,000 เมตร
-
1,001-1,500 เมตร
-
1,501-2,000 เมตร
-
2,001-2,500 เมตร
-
2,501-3,000 เมตร
-
3,001-4,000 เมตร
-
> 4,000 เมตร
เทคโนโลยีถูกประยุกต์ใช้ใน
-
บริเวณสันเขา (convex situations)
-
บริเวณแอ่งบนที่ราบ (concave situations)
-
ไม่เกี่ยวข้อง
ความลึกของดิน
-
ตื้นมาก (0-20 ซ.ม.)
-
ตื้น (21-50 ซ.ม.)
-
ลึกปานกลาง (51-80 ซ.ม.)
-
ลึก (81-120 ซ.ม.)
-
ลึกมาก (>120 ซ.ม.)
เนื้อดิน (ดินชั้นบน)
-
หยาบ/เบา (ดินทราย)
-
ปานกลาง (ดินร่วน ทรายแป้ง)
-
ละเอียด/หนัก (ดินเหนียว)
เนื้อดิน (> 20 ซม. ต่ำกว่าพื้นผิว)
-
หยาบ/เบา (ดินทราย)
-
ปานกลาง (ดินร่วน ทรายแป้ง)
-
ละเอียด/หนัก (ดินเหนียว)
สารอินทรียวัตถุในดิน
-
สูง (>3%)
-
ปานกลาง (1-3%)
-
ต่ำ (<1%)
น้ำบาดาล
-
ที่ผิวดิน
-
<5 เมตร
-
5-50 เมตร
-
> 50 เมตร
ระดับน้ำบาดาลที่ผิวดิน
-
เกินพอ
-
ดี
-
ปานกลาง
-
ไม่ดีหรือไม่มีเลย
คุณภาพน้ำ (ยังไม่ได้รับการบำบัด)
-
เป็นน้ำเพื่อการดื่มที่ดี
-
เป็นน้ำเพื่อการดื่มที่ไม่ดี (จำเป็นต้องได้รับการบำบัด)
-
เป็นน้ำใช้เพื่อการเกษตรเท่านั้น (การชลประทาน)
-
ใช้ประโยชน์ไม่ได้
Water quality refers to:
ความเค็มของน้ำเป็นปัญหาหรือไม่?
การเกิดน้ำท่วม
ความหลากหลายทางชนิดพันธุ์
ความหลากหลายของแหล่งที่อยู่
ลักษณะเฉพาะของผู้ใช้ที่ดินที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี
เป้าหมายทางการตลาด
-
เพื่อการยังชีพ (หาเลี้ยงตนเอง)
-
mixed (subsistence/ commercial)
-
ทำการค้า/การตลาด
รายได้จากภายนอกฟาร์ม
-
< 10% ของรายได้ทั้งหมด
-
10-50% ของรายได้ทั้งหมด
-
> 50% ของรายได้ทั้งหมด
ระดับของความมั่งคั่งโดยเปรียบเทียบ
-
ยากจนมาก
-
จน
-
พอมีพอกิน
-
รวย
-
รวยมาก
ระดับของการใช้เครื่องจักรกล
-
งานที่ใช้แรงกาย
-
การใช้กำลังจากสัตว์
-
การใช้เครื่องจักรหรือเครื่องยนต์
อยู่กับที่หรือเร่ร่อน
-
อยู่กับที่
-
กึ่งเร่ร่อน
-
เร่ร่อน
เป็นรายบุคคลหรือกลุ่ม
-
เป็นรายบุคคล/ครัวเรือน
-
กลุ่ม/ชุมชน
-
สหกรณ์
-
ลูกจ้าง (บริษัท รัฐบาล)
อายุ
-
เด็ก
-
ผู้เยาว์
-
วัยกลางคน
-
ผู้สูงอายุ
พื้นที่ที่ใช้ต่อครัวเรือน
-
< 0.5 เฮกตาร์
-
0.5-1 เฮกตาร์
-
1-2 เฮกตาร์
-
2-5 เฮกตาร์
-
5-15 เฮกตาร์
-
15-50 เฮกตาร์
-
50-100 เฮกตาร์
-
100-500 เฮกตาร์
-
500-1,000 เฮกตาร์
-
1,000-10,000 เฮกตาร์
-
>10,000 เฮกตาร์
ขนาด
-
ขนาดเล็ก
-
ขนาดกลาง
-
ขนาดใหญ่
กรรมสิทธิ์ในที่ดิน
-
รัฐ
-
บริษัท
-
เป็นแบบชุมชนหรือหมู่บ้าน
-
กลุ่ม
-
รายบุคคล ไม่ได้รับสิทธิครอบครอง
-
รายบุคคล ได้รับสิทธิครอบครอง
สิทธิในการใช้ที่ดิน
-
เข้าถึงได้แบบเปิด (ไม่ได้จัดระเบียบ)
-
เกี่ยวกับชุมชน (ถูกจัดระเบียบ)
-
เช่า
-
รายบุคคล
สิทธิในการใช้น้ำ
-
เข้าถึงได้แบบเปิด (ไม่ได้จัดระเบียบ)
-
เกี่ยวกับชุมชน (ถูกจัดระเบียบ)
-
เช่า
-
รายบุคคล
เข้าถึงการบริการและโครงสร้างพื้นฐาน
ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิค
การจ้างงาน (เช่น ภายนอกฟาร์ม)
หนี้ เฉลี่ย 20,000 บาทต่อคน
ผลกระทบ
ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
คุณภาพป่า /พื้นที่ทำไม้
คืนพื้นที่เกษตรเป็นป่า 1700 ไร่
การเสี่ยงต่อความล้มเหลวในการผลิต
ปลูกได้ทุกฤดู มีเจ้าหน้าที่คอยตรวจเรื่องโรคแมลง
พื้นที่สำหรับการผลิต (ที่ดินใหม่ที่อยู่ในระหว่างเพาะปลูกหรือใช้งาน)
ความต้องการน้ำจากการชลประทาน
มีสมาชิกทำผักอินทรีย์เพิ่มปีละ3-4 ราย
ค่าใช่จ่ายของปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
จำนวนก่อน SLM: None
หลังจาก SLM: 30 %
ซื้อปุ๋ยและสารชีวภัณฑ์
เก็บผลผลิตขายได้8 รอบต่อปี
รายได้จากฟาร์ม
GAP and organic vegetable products
ผลกระทบด้านสังคมและวัฒนธรรม
ความมั่นคงด้านอาหาร / พึ่งตนเองได้
That is the main concept of the organic vegetable activities.
สถาบันของชุมชน
The Royal Project officers supported knowledge and suggestion to community network.
SLM หรือความรู้เรื่องความเสื่อมโทรมของที่ดิน
Local officers and training in implementation
สถานการณ์ของกลุ่มด้อยโอกาส ทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ (เพศ อายุ สถานภาพ ความเป็นกลุ่มทางชาติพันธุ์)
ผลกระทบด้านนิเวศวิทยา
ปริมาณน้ำ
Rainwater from the upstream of this watershed
การเกิดแผ่นแข็งที่ผิวดิน /การเกิดชั้นดาน
อินทรียวัตถุในดิน/ต่ำกว่าดินชั้น C
They usually use organic fertilizers.
ความหลากหลายทางชีวภาพของพืช
Several kinds of vegetables are used in this organic farming.
พืชพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกล้ำเข้ามา
ความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์
ชนิดพันธุ์ที่ให้ประโยชน์ (ผู้ล่า ไส้เดือนดิน แมลงผสมเกสร)
การจัดการศัตรูพืชและโรคพืช
They used bioproducts for disease and pest control.
ผลกระทบของพายุไซโคลน พายุฝน
ผลกระทบนอกพื้นที่ดำเนินการ
น้ำที่ใช้ประโยชน์ได้ (น้ำบาดาล น้ำพุ)
การไหลของน้ำคงที่และสม่ำเสมอในช่วงฤดูแล้ง(รวมถึงการไหลน้อย)
การเกิดมลพิษในน้ำบาดาลหรือแม่น้ำ
ความเสียหายต่อพื้นที่เพาะปลูกของเพื่อนบ้าน
รายได้และค่าใช้จ่าย
ผลประโยชน์ที่ได้รับเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่าย
ผลตอบแทนระยะยาว
ด้านลบอย่างมาก
ด้านบวกอย่างมาก
ผลประโยชน์ที่ได้รับเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
ผลตอบแทนระยะยาว
ด้านลบอย่างมาก
ด้านบวกอย่างมาก
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ค่อยเป็นค่อยไป
สภาพรุนแรงของภูมิอากาศ (ภัยพิบัติ)
พายุฝนฟ้าคะนองประจำท้องถิ่น
การน้อมเอาความรู้และการปรับใช้
เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ที่ดินในพื้นที่ที่นำเทคโนโลยีไปใช้
-
ครั้งเดียวหรือเป็นการทดลอง
-
1-10%
-
11-50%
-
> 50%
จากทั้งหมดที่ได้รับเทคโนโลยีเข้ามามีจำนวนเท่าใดที่ทำแบบทันที โดยไม่ได้รับการจูงใจด้านวัสดุหรือการเงินใดๆ?
-
0-10%
-
11-50%
-
51-90%
-
91-100%
จำนวนหลังคาเรือนหรือขนาดพื้นที่รวมทั้งหมด
เกษตรกร 152 คน 220 โรงเรือน
เทคโนโลยีได้รับการปรับเปลี่ยนเร็วๆ นี้เพื่อให้ปรับตัวเข้ากับสภาพที่กำลังเปลี่ยนแปลงหรือไม่?
สภาพที่กำลังเปลี่ยนแปลงอันไหน?
-
การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปและสภาพรุนแรงของภูมิอากาศ
-
การเปลี่ยนแปลงของตลาด
-
การมีแรงงานไว้ให้ใช้ (เนื่องจากการอพยพย้ายถิ่นฐาน)
บทสรุปหรือบทเรียนที่ได้รับ
จุดแข็ง: มุมมองของผู้ใช้ที่ดิน
-
ส่งเสริมด้านอาชีพและรายได้ของเกษตรกร ในปี 2543 รายได้ของเกษตรกรได้เพียง 5,000 บาทต่อครัวเรือน หลังจากที่ทำเกษตรอินทรีย์แบบมีโรงเรือน สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น สามารถปลูกพืชได้หลายรอบ ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยเป็น 60,000 บาทต่อครัวเรือน
-
เกษตรกรได้รับความรู้สม่ำเสมอ เพราะมีหลายหน่วยงานเข้ามาให้ความรู้ มีการอบรมทุกปี มีเจ้าหน้าที่มาตรวจแปลง ให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการโรคและแมลงศัตรูพืช รวมถึงการปรับปรุงบำรุงดินให้เหมาะสม
-
พื้นที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่ยังไม่มีมลพิษ เกษตรกรทำการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมีมาโดยตลอด จึงเป็นแหล่งผลิตอาหารปลอดภัยและแหล่งเรียนรู้การผลิตผักอินทรีย์ ทำให้การผลิตผักอินทรีย์ของบ้านเมืองอาง ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากกรมวิชาการ สำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ประเทศไทย (มกท) และหน่วยงานรับรองมาตรฐานเกษตรของประเทศสิงคโปร์ (AVA) พื้นที่ที่ผ่านการรับรองจำนวน 266.25 ไร่
-
เสริมสร้างความเข้มแข็งของคนในชุมชน มีการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ผลิตพืชอินทรีย์ มีสมาชิกและมีเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มในการผลิตพืชอินทรีย์ของชุมชน
จุดแข็ง: ทัศนคติของผู้รวบรวมหรือวิทยากรคนอื่นๆ
-
การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ สามารถแก้ไขปัญหาการบุกรุกถางป่า เพื่อใช้พื้นที่ปลูกพืชทำไร่เลื่อนลอย การส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกผักอินทรีย์ในโรงเรือน เป็นการทำการเกษตรในพื้นที่เฉพาะ ใช้พื้นที่น้อยแต่มีรายได้พออยู่พอกิน ทำให้เกษตรกรคืนพื้นที่เกษตรให้กลับเป็นป่าไปแล้วประมาณ 1,700 ไร่ ลดการชะล้างพังทลายของหน้าดิน และความเสื่อมโทรมของดิน ส่งเสริมให้มีแนวคิดรักษาป่า รักษาธรรมชาติ
-
ชาวบ้านมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มีความไว้วางใจกัน ช่วยเหลือกันด้วยความเต็มใจแบ่งปันความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์ มีความเป็นปึกแผ่นเหนียวแน่น
-
เป็นต้นแบบการทำการเกษตรแบบพอเพียง ไม่มุ่งหวังเพื่อการค้า โดยมีกฎเกณฑ์ให้เกษตรกร 1 คน มีโรงเรือนไม่เกิน 3 โรงเรือน ใช้แรงงานภายในครอบครัวช่วยกันทำ เป็นการปลูกฝังและให้ประสบการณ์ทำให้ลูกหลานของเกษตรกรทำได้ ทำเป็น และมีแนวคิดกลับมาทำงานในท้องถิ่น
-
การสร้างเครือข่ายการทำงาน (Networking) เครือข่ายจะทำให้ชุมชนสามารถดำเนินกิจกรรมเพื่อนำไปสู่การพึ่งตนเองได้
จุดด้อย/ข้อเสีย/ความเสี่ยง: มุมมองของผู้ใช้ที่ดินแก้ไขปัญหาได้อย่างไร
-
ขาดกรรมสิทธิ์ในที่ดินทำกิน ชาวบ้านสามารถทำการเกษตรบนพื้นที่ของตนเองได้แต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ทางกฏหมาย เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวน ทำให้ชาวบ้านเกรงว่าอาจจะต้องย้ายออกจากพื้นที่ในอนาคต
ชาวบ้านและหัวหน้าชุมชนต้องการแก้ไขปัญหาจึงได้ขอความช่วยเหลือกับทางรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลได้มีนโยบายในการ ”ออกโฉนดชุมชน” ทั้งนี้เพื่อหามุมมอง “ด้านกฎหมาย” ที่จะเข้าไปช่วยเหลือจัดการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไป
-
เด็กด้อยโอกาสทางการศึกษา เนื่องจากด้านสภาพเศรษฐกิจของผู้ปกครองของเด็กยากจน
โรงเรียนในพื้นที่ได้เพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กยากจน โดยการให้ทุนสนับสนุนในการจัดการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาสทางการศึกษา เพื่อให้สามารถเข้าสู่ระบบการศึกษา และลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวในด้านค่าเล่าเรียน
-
ปัญหาทางด้านพลังงานที่ยังไม่ทั่วถึง เนื่องจากบางพื้นที่ยังขาดแคลนไฟฟ้า
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้จัดสรรงบประมาณในการติดตั้งระบบไฟฟ้าให้กับหมู่บ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทั่วถึง
-
การคมนาคม ขนส่ง โดยเฉพาะถนนทางเข้าสู่หมู่บ้าน ยังไม่ได้รับการพัฒนาให้เดินทางสะดวก
หน่วยงานรัฐบาลและหน่วยงานปกครองส่วนทั้งถิ่นได้จัดสรรงบประมาณในการพัฒนาปรับปรุงถนน เทคอนกรีต ลาดยาง เพื่อให้มีการขนส่งและการเดินทางที่สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น
จุดด้อย/ข้อเสีย/ความเสี่ยง: ทัศนคติของผู้รวบรวมหรือวิทยากรคนอื่นๆแก้ไขปัญหาได้อย่างไร
-
ชาวบ้านขาดกรรมสิทธิ์ในที่ดินทำกิน เนื่องจากพื้นที่ของชาวบ้านส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่าสงวน ทำให้ไม่มีเอกสารสิทธิ์ในการถือครองที่ดิน
รัฐบาลได้มีนโยบายในการ ”ออกโฉนดชุมชน” ออกมาเพื่อหวังจะแก้ไขปัญหาที่ดินดังกล่าว แต่การแก้ไขปัญหานี้ค่อนข้างยาก เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวโยงถึงเรื่องระบบเศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง
-
ปัจจัยการผลิตที่เกษตรกรยังผลิตเองไม่ได้ ต้องหาซื้อจากที่อื่น ทำให้มีต้นทุนการผลิต เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก สารไล่แมลง
หน่วยงานรัฐบาลได้เข้ามาส่งเสริมและสนับสนุนให้ความรู้ในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ สารไล่แมลง ไว้ใช้เอง
-
) ในเรื่องของตลาดรับซื้อ และการกำหนดราคา เกษตรกรยังไม่สามารถหาตลาดรับซื้อได้เอง ผลผลิตที่ขายได้ในปัจจุบัน ผ่านการสั่งซื้อจากมูลนิธิโครงการหลวง
เกษตรกรต้องรวมกลุ่มและสร้างแบรนด์ของตนเอง จนเป็นที่ยอมรับ จึงจะสามารถกำหนดราคาและมีผู้รับซื้ออย่างต่อเนื่อง
การอ้างอิง
ผู้ตรวจสอบ
-
Rima Mekdaschi Studer
-
William Critchley
วันที่จัดทำเอกสาร: 21 ธันวาคม 2018
การอัพเดทล่าสุด: 14 มกราคม 2021
วิทยากร
-
กมลาภา วัฒนประพัฒน์ - co-compiler
-
.วัชรินทร์ พจนบัณฑิต - ผู้ใช้ที่ดิน
-
บุญตรี คีรีภูวดล - เจ้าหน้าที่ส่งเสริม
-
จรัส อินต๊ะ - นักวิชาการเกษตร
คำอธิบายฉบับเต็มในฐานข้อมูล WOCAT
การจัดทำเอกสารถูกทำโดย
องค์กร
- Land Development Department LDD (Land Development Department LDD) - ไทย
โครงการ
ลิงก์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่มีอยู่ในออนไลน์